เหรียญซุ้มเรือนแก้ว(โต๊ะหมู่) หลวงปู่ศรี มหาวีโร ปี 2554 เนื้ออัลปาก้า
สร้างถวายโดยคุณอนุชา แทนวารีรัตน์ เพื่อแจก..เป็นธรรมทาน บูชาพระคุณ ในโอกาสงานวัดเกิด ๓ พ.ค.๕๔ นำรูปแบบเหรียญถวายหลวงปู่ศรี เพื่อพิจารณาอธิฐานจิตแบบและขออนุญาติเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ และนำบล๊อกแม่พิมพ์และเหรียญลองพิมพ์ ถวายหลวงปู่ศรี เพื่อพิจารณา และอธิฐานจิตบล๊อกแม่พิมพ์ ก่อนนำไปปั้ม เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๔ จากนั้นนำเหรียญทั้งหมดไปถวายหลวงปู่ศรี อธิฐานจิตอีก ๕ ครั้ง
ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๕๔ ครั้งที่ ๑.เวลาประมาณ ๑๗.๕๙ น. ๒.เวลา ๒๐.๑๙น.
ในวันที่ ๒๓ เมษายน๕๔ (เสาร์ ๕)ครั้งที่ ๑.เวลาประมาณ ๑๑.๓๙ น.
๒.เวลา ๑๙.๐๙ น. ๓.เวลา ๒๐.๕๙ น.
จำนวนการจัดสร้าง
1.เนื้อทองคำ 10 เหรียญ
2.เนื้อนวะพิเศษแก่ทองคำ 10 เหรียญ
3.เนื้อเงินหลังเรียบหน้าทองคำ 3 เหรียญ
4.เนื้อเงินหลังเรียบ 9 เหรียญ
5.เนื้อเงิน 3 โค๊ตถวายพระอุปฐาก 20 เหรียญ
6.เนื้อเงินหน้าทองคำ 19 เหรียญ
7.เนื้อเงิน 99 เหรียญ มอบให้ลูกศิษย์ที่อุปฐากหลวงปู่ศรีและผู้ร่วมทำบุญในโอกาสต่างๆ
8.เนื้อนวะโลหะแก่เงิน 310 เหรียญ(หน้ากากเงิน 40เหรียญ) มอบเป็นที่ระลึกแก่ผู่ร่วมทำบุญสร้างพระอรหันต์ รอบวิหารคต ณ.พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
9.เนื้ออัลปาก้า 2,119 เหรียญ มีโค๊ต2แบบ คือ “ศ”ในวงกลม และโค๊ต”มหาวีโร”
10.เนื้อดีบุก 17 เหรียญ
11.เนื้อตะกั่ว 11 เหรียญ
นับเป็นเหรียญรุ่นสุดท้าย ได้นำถวายหลวงปู่ศรี อธิฐานจิต ก่อนที่หลวงปู่ศรีท่านจะละสังขาร หลวงปู่ศรี ท่านได้แผ่เมตตาให้มีพุทธคุณครบทุกด้าน สามารถอาราธนาทำน้ำมนต์ได้ อีกทั้งยังขอบารมีหลวงปู่ศรี และขอให้ท่านเมตตาอัญเชิญขอบารมีสามสิบทัศน์มาบรรจุอยู่ในเหรียญรุ่นนี้ ด้วย…พุทธคุณสุดยอด…
ตามประวัตินั้นมีสิ่งบอกเหตุมาตั้งแต่ก่อนท่านเกิดแล้วถึงความเป็น “ผู้มีวาสนากว้างขวางองค์หนึ่งที่หาได้ยาก” ในปี พ.ศ. 2459 โยมแม่ของท่านฝันว่า มีดาวดวงหนึ่งซึ่งมีรัศมีสุกสกาวหมุนวนลงมาจากสรวงสวรรค์ โดยเหล่าผู้มีบุญประพฤติศีลธรรมอันดีงาม และเหล่าทวยเทพเหาะรายล้อมคารวะไหว้ดาวดวงนั้นมา เมื่อดาวจะหล่นลงเบื้องหน้า โยมแม่ของท่านจึงกระพุ่มมือออกรับไว้ ในใจนั้นเกิดปีติยิ่งกว่าได้สมบัติใดๆ
หมอดูในหมู่บ้านทำนายไว้ล่วงหน้าว่า จะมีบุรุษรัตนชาติอาชาไนยมากำเนิด เมื่อเติบใหญ่จะได้ออกบวชมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทุกทิศ
โยมแม่จึงคิดว่า เมื่อผู้มีบุญจะมาเกิด ท่านจึงรักษาศีล 5 ไหว้พระสวดมนต์ตลอดเวลาที่ตั้งครรภ์ 9 เดือน หลังจากนั้นหลวงปู่ศรีก็กำเนิดในครอบครัว “ปักกะสีนัง” เป็นบุตรคนที่ 6 ในตระกูลชาวนาแห่งบ้านขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
เด็กชายศรีมีนิสัยน้อมนำไปในทางบุญมาตั้งแต่เด็ก เมื่อออกไปเลี้ยงควายตามทุ่งก็ระวังไม่ให้วัวควายไปเหยียบย่ำพืชสวนของชาวบ้าน พบเห็นดอกไม้ป่าก็หักเอามาให้พ่อแม่ไหว้พระ ตัวท่านเองก็ชอบเล่นเป็นพระ แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เวลาใกล้หลับจิตของเด็กชายศรีมักจะ “ดิ่งลงเหมือนคนตกตึก”
เมื่อดิ่งลงไปแล้วจะเกิดนิมิตเห็น “คนล้มตาย เห็นคนหัวขาดจำนวนมาก ศพคนตายนอนเกลื่อนกล่นทับถมกันเหมือนกองภูเขา น่าขยะแขยง น่าสะพรึงกลัวที่สุด จิตแสดงนิมิตให้เห็นว่าเป็นอาการต่างๆ ว่า คราวไหนเกิด คราวไหนตาย เห็นร่างตัวเองเทียวเกิดเทียวตาย การเกิดแต่ละชาติพ่อแม่ก็เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน เปลี่ยนรูปร่างลักษณะไปเรื่อยๆ ประหนึ่งว่า เหล่าสัตวโลกนี้ ผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกันไม่มีในโลก”
กระนั้นเมื่อโตขึ้น ชีวิตก็หักเหไปเป็นครู และแต่งงานจนมีลูก 4 คน ในวัย 29 ปี โยมแม่ของท่านป่วยหนัก ก่อนโยมแม่จะสิ้นใจไม่กี่วันได้เอ่ยปากว่า แม่อยากจะขอให้ลูกบวช จะบวชสัก 10 วันก็ได้ 15 วันก็ได้ แม่จะได้พึ่งบุญไปสวรรค์
เมื่อโยมแม่สิ้น ท่านจึงออกบวชที่วัดราษฎร์รังสรรค์ ต.ขอนแก่น อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2488 โดยมีพระโพธิญาณมุนี (คำ โพธิญาโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า “มหาวีโร” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีความกล้าหาญมาก” หรือ “ผู้สามารถบุกเข้าไปทำลายกิเลสได้”
เมื่อบวชแล้ว หลวงปู่ศรีเริ่มออกแสวงหาครูบาอาจารย์ บางรูปอาจจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะตั้งหลักได้ แต่ในปีแรกนั้นเอง หลวงปู่ศรีก็ได้ยินข่าวว่า พระอาจารย์คูณ ธัมมุตตโม มาเผยแผ่อยู่ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อ.เมือง จ.มหาสารคาม
พระอาจารย์คูณรูปนี้เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ท่านติดตามพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มาเผยแผ่ธรรมะ ทันทีที่ท่านได้ฟังพระอาจารย์คูณเล่าถึงเทศนาที่ได้รับฟังมาจากพระอาจารย์มั่นว่า “พระอรหันต์ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากไหน ก็มาจากหัวใจของปุถุชนมาจากราคะ โทสะ โมหะ ถ้าหากใจปุถุชนนั้นพยายามบากบั่นฝึกปรือตนให้เดินตามมรรคสัมมาปฏิบัติ พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตมขี้โคลน เน่าๆ เหม็นๆ แต่พอพ้นน้ำรับแสงอาทิตย์บานแย้มเต็มที่ มีสง่าราศี ใครก็อยากได้อยากชม” ก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า
ในพรรษาแรกนั้นเอง หลังจากทั้งเดินจงกรมและภาวนาโดยเตือนตนว่า ทำไมจะเดินจงกรมหรือนั่งภาวนาทั้งคืนไม่ได้ ในเมื่อเรานั่งอยู่ในท้องแม่เป็นเวลา 910 เดือนก็ยังอยู่ได้ ผลคือ
“สุดท้ายจิตวูบวาบลงคราวเดียว ทุกขเวทนาที่ว่าเผ็ดร้อน หายหน้าหายตาไปหมด ร่างกายเปรียบกันได้ดั่งเหล็กที่เผาไฟแดงๆ แล้วนำไปทิ้งใส่น้ำ จะมีเสียงดังจ๊าดๆๆ ร่างกายเผาไหม้หมด มันเป็นของมันเอง ร่างกายจึงอยู่สบาย นั่งไปเท่าไหร่ทั้งคืนก็ได้ มิได้มีความเจ็บความปวด มันเกิดเองเป็นเอง ร่างกายจึงอยู่สบาย นั่งไปเท่าไหร่ทั้งคืนก็ได้ มิได้มีความเจ็บปวด มันเกิดเองเป็นเอง เรามิได้ปรุงแต่ง มีแต่ตัวรู้ รู้เฉยๆ อยู่…ของแปลกประหลาดภายในจิตเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ทำให้เรามีศรัทธาเกินคาด”
ของแปลกประหลาดภายในจิตที่เกิดขึ้น ทำให้ถามตัวเองว่า “เรื่องอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ เอ…จิตของคนเป็นอย่างนี้ก็มีหรือ?”
อัศจรรย์แห่งจิตนั้นยังให้เกิดศรัทธาอย่างเหนียวแน่น ขนาดพ่อตาแม่ยายไปนิมนต์ให้สึกท่านก็ไม่สึก ก้าวถัดจากนั้นคือ ไปศึกษา วัตรปฏิบัติจากพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มือขวาของพระอาจารย์มั่น ผู้ได้ชื่อว่า แม่ทัพใหญ่แห่งกรรมฐาน
การได้ไปพบกับพระอาจารย์สิงห์ที่วัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี นั้นมิได้เป็นแต่การทำให้พบสังคมแห่งกัลยาณมิตร ซึ่งจะเกื้อกูลให้มีกำลังใจต่อเนื่อง เพราะที่แห่งนั้นท่านได้พบกับพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธัมโม พระอาจารย์ดี ฉันโน พระอาจารย์ผั่น ปาเรสโก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระอาจารย์หลุย จันทสาโร พระอาจารย์ทอง อโสโต ฯลฯ
แต่เมื่อได้ฟังเทศนาพระอาจารย์สิงห์แล้ว ท่านว่า “ฟังใหม่ๆ ราวกับว่าได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า”
พอได้แนวทางแล้วจึงเริ่มออกธุดงค์ ท่านจาริกไปยังที่ต่างๆ และฝึกตนอย่างเข้มงวด อดนอน ผ่อนอาหาร บางช่วงถึงกับกำหนดว่า ถ้าวันไหนบิณฑบาตหรือฉันจังหันก็จะไม่นอนทั้งวันทั้งคืน
พลศรีทอง พระเครื่อง โดย บู เชียงราย
. https://ponsrithong.com/
web (main) พระเครื่อง : บู เชียงราย ร้านพลศรีทอง พระเครื่อง
Web ( มุมพระ) : มุมพระ
https://www.mumpra.com/shop.php?shopid=507
web (99wat) : 99วัด
http://www.ponsrithong.99wat.com/
Facebook เพจพลศรีทอง พระเครื่อง บู เชียงราย
: https://www.facebook.com/ponsrithong/
IG :https://www.instagram.com/bu_chiangrai.amulet/
Reviews
There are no reviews yet.