พระรูปหล่อ (พระชัยวรมัน) ยุคต้น พญาเหล็กไหล วรรณะท้องปลาไหล หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์
ในแต่ละครั้งที่หลวงพ่อเดินทางไปหาเหล็กไหล เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากมากพอสมควร อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่หลวงพ่อใช้ในแต่ละพิธีเป็นจำนวนค่อนข้างสูง แต่ก็เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสุดยอดแห่งอิทธิมงคลจากธรรมชาติ เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาและผู้สนใจ ได้ร่วมทำบุญสร้างเสนาสนะและบูรณะทำนุบำรุง วัดพุทไธศวรรย์ และได้วัตถุมงคลไว้บูชา
30 ปีที่แล้วทำบุญบูรณะทำนุบำรุง วัดพุทไธศวรรย์ 10,000 จะได้1องค์
” เหล็กไหล” เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณอยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึงถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก “อาวุธปืน” หรือ “ของมีคม” และ “ศาสตราวุธ” ทุกชนิด “เหล็กไหล” เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก “อุบัติภัยร้ายแรง” ต่างๆ รวมไปถึง “อาวุธร้ายแรง” นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง
ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก “เทพยดา” ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญเหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา “การเรียกและตัดเหล็กไหล” จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว
เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา “เทพยดา หรือ ฤาษี” ที่ปกปักรักษา ได้แก่
1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
2.วรรณะท้องปลาไหล
3.วรรณะเงินยวง
และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ, พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระขรรค์,ตรีสูญ, พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง “หุ่นเทียน” ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ “เหล็กไหล” ท่านจึงทำ “พิธีอัญเชิญเหล็กไหล” ให้ “ไหลวิ่ง” ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้นมา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พิธีหุงเหล็กไหล”
โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ “อำนาจพลังจิต” สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน “การเรียกและตัดเหล็กไหล” โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ “ของปลอม” ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่ง “เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น “มหาเทพ” และ “มหาฤาษี” ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ “เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ” นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา “เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง
“เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ” นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ “พระภิกษุ” หรือ “นักบวชต่างๆ” (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น “ผู้มีบุญญาธิการบารมี” และต้องมี “กรรมเก่าเกี่ยวกัน” จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครองนะครับ ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครองครับ
… มหาอำนาจ บารมี โชคลาภ วาสนา พุทธคุณ 108 เหนือคำบรรยาย
… มหาอำนาจ บารมี โชคลาภ วาสนา พุทธคุณ 108 เหนือคำบรรยาย
… มหาอำนาจ บารมี โชคลาภ วาสนา พุทธคุณ 108 เหนือคำบรรยาย
นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงเหล็กไหลแล้ว ทุกคนดูเหมือนว่าจะรู้ว่าหมายถึงอะไร เมื่อทุกคนได้ยินคำสองพยางค์นี้แล้วไม่ว่าจะเคยเห็นของจริงหรือไม่ก็ตามจะ นึกภาพออกว่า มีลักษณะและสีสันเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้จะเกิดความรู้สึกได้ว่าปืนยิงไม่ออก คงกะพัน แคล้วคลาด ปลอดภัย และที่สำคัญก็คือ มีความมันแวววาว นั่นหมายถึง เหล็กไหล
เกจิทางด้านเหล็กไหล ท่านมักจะไม่เรียก เหล็กไหล แต่จะเรียกว่า พญาเหล็ก หรือ นางพญาเหล็ก หรือเจ้าแม่ทองธรรมชาติ และผู้รู้อีกหลายท่านบอกว่าเหล็กไหลนั้นมีชื่ออื่นอีก ได้แก่ เหล็กหลาย หรือ แร่กินดินปืน หรือสมิงเหล็ก
จากข้อความบางส่วนของหนังสือ “เหล็กไหลมีจริงที่นี่” พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้บันทึกไว้ว่า “…พระอาจารย์ชำนาญ ญานฺตตโร พระภิกษุผู้เรืองเวทย์รูปหนึ่ง ท่านมีเชื้อสายเขมร ท่านเปิดเผยต่อท่านว่า เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฎแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณอยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุ เหล็กไหลเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งได้ ขับถ่ายได้ เสพกามได้เพราะมีทั้งเพศผู้ เพศเมีย แต่การเสพกามของเหล็กไหล เป็นการเสพทางกระแสจิตวิญญาณ เพียงแต่ความรู้สึกความใคร่กามารมณ์ โดยไม่ต้องสัมผัสกัน และสถานที่อยู่อาศัยนั้น เหล็กไหลชอบสถานที่สงบตามน้ำ การพักผ่อนเหมือนการเข้าฌาณ ดังนั้นจึงถือไดว่า เหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งพวกเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลาย
เล่าสืบต่อกันว่า เหล็กไหลจะอาศัยรวมๆ กันเรียกว่าอาณาจักร ส่วนหนึ่งที่เป็นอาหารของเหล็กไหลก็คือ ธาตุเหล็ก กินธาตุเหล็กก็เพื่อใช้ในการตั้งธาตุ ปรับธาตุให้เกิดความสมดุล เมื่อกินธาตุเหล็กเข้าไปเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง มันก็จะคายหรือขับถ่ายสิ่งที่เหลือออกมาเรียกกันว่า ขี้เหล็กเไหล มีลักษณะเหมือนเหล็กที่เนื้อไม่แน่น เหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเท่าตัวเหล็กไหล สีสันออกดำด้านๆ แข็งกระด้างไม่มีประกายแวววาว ส่วนใหญ่จะเห็นที่พื้น โดยตกลงมาจากผนังถ้ำ หน้าผาสูง หรือชะโงกเงื้อม เมื่อตกลงมาแล้วมักจะสะสมทับถมคล้ายจอมปลวก มีขนาดต่างๆ เล็กเท่าหัวแม่มือ ลูกมะนาว ส้มโอ ลูกมะพร้าว มีพระเกจิหลายรูปนำไปผสมกับโลหะต่างๆ สร้างเป็นพระเครื่อง พระบูชา ท่านว่าขลังมาก ผู้รู้กล่าวกันว่าเหล็กไหลมี ๒ ประเภท
๑. เหล็กไหลตามธรรมชาติ
๑.๑ เหล็กไหลตัด เป็นเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ตามป่าเขา ยังไม่แข็งตัว ยังอยู่ภายในอาณาจักรของมัน เมื่อถูกตัดออกมาจากอาณาจักรและถูกสภาพอากาศภายนอก จะทำให้เหล็กไหลแข็งตัวคงรูปคงร่างเป็นรูปพรรณสัญฐานต่างๆ กลายเป็นรูปร่างที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ เหล็กไหลตัดมีฤทธิ์อำนาจมากเป็นพิเศษ
๑.๒ เหล็กไหลบารมี เป็นเหล็กไหลที่เกิดจากแรงอธิษฐาน เพื่อให้เกิดบารมีที่จะนำมาช่วยเหลือหมู่มวลมนุษย์ อาศัยบุญบามีและฤทธิ์อำนาจจากฌาณสมาบัติที่ถูกสะสะมไว้ในธาตุกายสิทธิ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในทางโลกและทางธรรม โดยที่มิได้ใช้เวทมนตร์เข้าไปบีบบังคับเพื่อที่จะตัดเหล็กไหล เป็นการสละธาตุขันธ์ หลุดตัวออกมาสู่โลกภายนอก ยินยอมเปิดบุญบารมีให้แก่ผู้มีบุญบารมี เหล็กไหลบารมีจึงเป็นเหล็กไหลที่พบเห็นในสภาพที่กำลังไหลตามธรรมชาติ เหล็กไหลดำ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
๒. เหล็กไหลหุง
คุณวีระศักดิ์ สินธุวงศ์ ได้กล่าวถึงเหล็กไหลหุงไว้ว่า “พระอริยะในยุคก่อนๆ ที่ของปลีกตัวเข้าสู่ความสงบวิเวก ตามป่า ตามถ้ำ ตามเขาเพียงลำพัง เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น เมื่อแสดงหาความหลุดพ้น เมื่อจาริกธุดงค์รอนแรมไปตามป่าเขา มักจะได้พบกับแร่ธาตุที่มีฤทธิ์ มีอำนาจอยู่ในตัว โดยเฉพาะแร่เงินยวง ไหลเพชรดำ โคตรเหล็กไหล โคตรทรหด เป็นต้น ท่านจะเก็บไว้เพื่อทดสอบฌาณสมาบัติของตนเอง ว่ามีเจโตปริยญาณสมาบัติในระดับใด เนื่องเพราะทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มี ที่เป็นอยู่ ก็เกิดขึ้นหรือมาจากสายณะธรรมในการฝึกฝนปฎิบัติต่อจิตมาก่อน เมื่อสามารถติดต่อกับ เทพ เทวา พรหม เจ้าที่ เจ้าทาง จิตวิญญาณชั้นสูง และผู้มีฤทธิ์อำนาจหรือผู้เป็นเจ้าของธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว จึงแสดงเจตนารมณ์ของตนว่าจะขอนำวัตถุธาตุที่มีฤทธิ์เหล่านั้นมาศึกษา นำมาทดลองเพื่อวัตถุประสงค์ของตนเองแล้ว จึงเก็บธาตุที่มีฤทธิ์อำนาจหรือสมุนไพรต่างๆ จำพวกต้นหิ่งหาย ไม้โมก ไพรดำ ขิงดำ กระชายดำ สบู่แดง สบู่เลือด ส้มป่อย ส้มเสี้ยว เขียวพันปี เขียวหมื่นปี ว่านยาต่างๆ ภายหลังก็จะนำสมุนไพรมาตำแล้วคั้นเอาน้ำ เรียกว่า น้ำสมันไพรธาตุ จากนั้นก็นำไปหลอมรวมกับโลหะธาตุ ซึ่งบางครั้งก็ทำได้สำเร็จได้เหล็กไหล แต่บางครั้งก็ไม่สำเร็จ
การหุงเหล็กไหลให้สำเร็จในแต่ละครั้งจะได้เพียงเล็กน้อย ชั่วชีวิตอาจทำได้เพียงขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น เหล็กไหลหุงจะมีฤทธิ์อำนาจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับบุญบารมีของผู้ทำการหุง และเจตนาในการหุงวา จะนำไปใช้ในการใด มีฌาณสมาบัติมากน้อยเพียงใด เพราะกรรมวิธีในการหุงธาตุกายสิทธิ์จะต้องมีการเสกไปในขณะหุงด้วย ส่วนประกอบที่เป็นโลหะธาตุนั้นแตกต่างกันไปตามความต้องการ ว่าจะให้ผลสำเร็จเป็นอะไร เช่น เมฆพัดเงิน เมฆพัด ทองแดง นวะโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจะโลหะ ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้น เครื่องไม้เครื่องมือค่อนข้างจะพร้อมในการหุง จึงทำการเคี่ยวให้หลอมละลายเป็นของเหลวแล้วนำไปเทลงในเม่พิมพ์ที่จัดเตรียม ไว้แล้ว ทิ้งจนเย็นก็จะได้รูปทรงที่แข็ง ทนทาน จากนั้นก็นำไปเจียระไนจนแวววาว เงามันสวยงาม เหล็กไหลหุงนี้ บางท่านให้ความเห็นว่า น่าจะมิใช่เหล็กไหล แม้จะมีพุทธคุณคล้ายเหล็กไหลก็ตาม แต่ควรจะเรียกว่า ธาตุกายสิทธิ์ตระกูลเหล็กไหล”
สีสันวรรณะของเหล็กไหล
สีสันวรรณะของเหล็กไหลแตกต่างกันไป ว่ากันว่าเหล็กไหลมี ๗ สี ด้วยกันและนอกจากนั้นอาจจะแตกต่างไปจากนี้บ้าง ในลักษณะผสมกัน สีสันของเหล็กไหลทั้ง ๗ สี ได้แก่ สีเขียวปีกแมลงทับ หรือสีเขียวขนเป็ด หรือเขียวมรกต สีท้องปลาไหลหรือสีน้ำตาลอ่อน สีเปลือกมังคุดหรือสีน้ำตาลไหม้ สีเงินยวงหรือขาวกว่าแร่เงินบริสุทธิ์ สีทองคล้ายทองคำ สีดำแวววาว และสีที่แตกต่างไปจาก ๖ สีข้างต้น เหมือนกับเป้นลักษณะผสมสีต่างๆ
เหล็กไหล เจ้าแม่ทองธรรมชาติ
ตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ จำกัดความว่า
“เหล็กไหล เป็นโลหะชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าเอาไฟเทียนลน ก็ไหลย้อยออกมาได้ ผู้รู้หลายท่านกล่าวทำนองเดียวกันว่า เรื่องราวของเหล็กไหลเป็นเรื่องของความลี้ลับโดยธรรมชาติ เกี่ยวข้องกับอิทธิปาฏิหารย์ เกี่ยวข้องกับเทพ เทวา พรหม อันอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ผู้ที่บำเพ็ญศีลภาวนาจนมีจิตละเอียด จึงจะสัมผัสความพิสดารเหล่านี้ได้”
และมีนักวิชาการท่าหนึ่งเขียนเกี่ยวกับเหล็กไหลได้อย่างลึกล้ำและน่าสนใจว่า
“เหล็กไหล มีอานุภาพเหนืออาคมทั้งปวง ไม่มีอาคมของผู้ใดจะบีบบังคับให้เหล็กไหลยอมจำนนได้ มีแต่คำเชิญที่ไพเราะ ถูกต้องตามครรลองเท่านั้นจึงจะได้เหล็กไหล”
หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท แห่งวัดพุทไธศวรรย์
พระครูภัทรกิจโสภณ หรือ หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท เดิมท่านชื่อ หวล การเกตุ ท่านเป็นบุตรของ คุณพ่อไล้ คุณแม่เสงี่ยม การเกตุ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ พื้นเพเดิมอยู่ ตำบลสามง่าม อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง มีพี่น้อง ๓ คน ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในพระพุทธศาสนา โดยท่านบรรพชาที่วัดกษัตราธิราชวรวิหาร ในขณะนั้นหลวงพ่อยอด หรือพระครูสาธุกิจโกศล (ต่อมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพุทไธศวรรย์ เจ้าคณะตำบลสำเภาล่ม) ยังอยู่ที่วัดกษัตราธิราชวรวิหาร และเข้ารับการอุปสมบทที่วัดพุทไธศวรรย์ เมื่อวันที่ ๑๒ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยมีพระราชธานินทร์ (หลวงพ่อเจิม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกุศลธรรมธาดา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์ยอด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาทางพระภิกษุว่า ภูริภทฺโท ท่านใช้ชีวิตอยู่ในสมณะเพศด้วยความมุ่งมั่น และด้วยเป็นพระที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบตลอดมา จึงได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาส วัดพุทไธศวรรย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ แทนพระครูสาธุกิจโกศล ที่มรณภาพ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ญาติโยมพร้อมใจกันให้พระภิกษุหนุ่ม พระหวล การเกตุ ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์
หลวงพ่อหวล ท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ในการแสดงหาความรู้ ด้านต่างๆ ตลอดจนการศึกษาวิชาอาคมและหนึ่งในวิชาอาคมอันสุดยอดของท่านก็คือ วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหล สุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ที่ทุกคนปรารถนาได้มาครอบครอง โดยหลวงพ่อหวล ท่าได้เรียนวิชาอาคมดังกล่าวมาจากอาจารย์ฆราวาสท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อเดิม หรือพระครูนิวาสธรรมขันธ์ แห่งวัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิที่โด่งดังมากที่สุดรูปหนึ่งของเมืองไทย
หลวงพ่อหวล ได้ศึกษาวิชาอาคมจากพระอาจารย์ฆราวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จนสำเร็จ ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ด้วยมีแรงผลักดันให้ท่านต้องออกแสวงหาเหล็กไหลให้ได้ ไม่เช่นนั้นความตั้งใจที่จะบูรณะวัดของท่าทนไม่มีทางสำเร็จได้ในเวลาอัน สมควร ท่านจึงต้องออกไปแสวงหาตามป่าเขา ลำเนาไพร โดยมีพระอาจารย์ฆราวาสเป็นผู้คอยแนะนำในระยะแรก
เหล็กไหล เพื่อการบูรณะวัด
โทร : 063-969-5995
web (main) พระเครื่อง : บู เชียงราย ร้านพลศรีทอง พระเครื่อง
Web ( มุมพระ) : มุมพระ
web (99wat) เว็บที่1 : 99วัด
web (99wat) เว็บที่2 : 99วัด
Facebook เพจพลศรีทอง พระเครื่อง บู เชียงราย
Reviews
There are no reviews yet.