พระนาคปรก หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก กรุงเทพมหานคร

     หาชมได้ไม่ง่ายนัก มีคนเดินตามเก็บเข้ารังตลอด ด้วยประสบการณ์ดีเยี่ยม โดยเฉพาะด้านแคล้วคลาดคงกระพัน เด่นดังมาเนิ่นนานแล้ว องค์นี้เป็นพระเนื้อดินหาชมของแท้แบบตัวจริงเสียงจริง แท้ไม่ต้องเข้ากล้องได้ยากมาก องค์นี้เป็นพระพิมพ์นาคปรก หาชมได้ยากขนาด เซียนพระเนื้อดินรุ่นใหม่แทบไม่มีใครรู้จัก พระพิมพ์พระนาคปรกเนื้อดินเผาเป็นหนึ่งหนึ่งในพิมพ์ที่พบเห็นกันค่อนข้างน้อยในสนาม สภาพผิวผ่านการอาราธณา ถูกสัมผัสจับต้องกันมาจนเห็นเนื้อหาที่จัดแกร่ง เก่าแก่ตามอายุการสร้าง แถมมีเนื้อเกินบริเวณส่วนบริเวณรอยคอดเว้า ตรงกลางองค์พระ ซึ่งทำให้พระแข็งแรงขึ้น หากสังเกตตามรูปพระเนื้อดินเผาจากหน้าหนังสือที่นำลงมาประกอบให้เปรียบเทียบ จะเห็นเนื้อหาของดินเผา แตกต่างกันเป็น 3 ลักษณะ 3 เกรนสี มีทั้งแบบ เนื้อค่อนข้างหยาบ และอีกเนื้อเป็นเนื้อดินละเอียดกว่า โทนสีออกเหลืองอมส้ม และ แบบพระนาคปรกองค์นี้ที่เนื้อค่อนข้างแกร่ง ออกโทนสีอมแดง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเนื้อดินแบบไหนและพิมพ์ใด ในปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้วจ้า

      จะว่าไปหากหลวงพ่อพริ้งไม่เก่งจริง คงไม่เป็นที่นับถือของ กรมหลวงชุมพรฯ ตลอดจนเกจิฯ ดังและชาวบ้านในย่านนั้น โดยมีผู้อาราธนาพระเครื่อง และเครื่องรางของท่าน แคล้วคลาดผ่านอันตรายในช่วงสงครามหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสงครามอินโดจีน สงครามมหาเอซียบูรพา (ระหว่าง พ.ศ. 2480–85) วัดบางปะกอกก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปได้มาขอพึ่งพาเป็นที่หลบภัย ทั้ง ๆ ที่วัดอยู่ไม่ไกลจากอู่ต่อเรือของทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาสร้างฐานทัพในประเทศ ไทยเท่าใดนัก โดยช่วงนั้นฝ่ายพันธมิตรได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานที่มั่นของ ทหารญี่ปุ่นมากมายหลายสิบลูก แต่ไม่มีระเบิดแม้แต่ลูกเดียวที่จะหลงหลุดลอยมาถึงวัดบางปะกอกได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะ “หลวงพ่อพริ้ง” ได้ทำพิธีขจัดปัดเป่าจึงทำให้บริเวณวัดบางปะกอกและใกล้เคียงรอดพ้นจากภัยพิบัติจากสงคราม ไปจนถึงยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งนายทหารที่ผ่านสงครามหลายต่อหลายคนล้วนแล้วแต่พานพบประสบการณ์มาแล้วทั้งสิ้นจนเป็นที่ประจักษ์

       พระของหลวงพ่อพริ้งขนานแท้ดั้งเดิม ที่เล่นหากันเป็นมาตรฐานนั้น มูลค่าเช่าหาราคาสูงสุด คงจะหนีไม่พ้นเหรียญรุ่นแรก สร้างปี 2483 มีเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง รองลงมาเห็นจะได้แก่พระสมเด็จ ทั้งพืมพ์ไพ่ตอง และพระสมเด็จ และพระเนื้อผงพุทธคุณพิมพ์ต่าง ๆ อีกหลายพิมพ์ และเครื่องรางประเภทลูอมเนื้อผงพุทธคุณ ว่ากันว่าผงพุทธคุณที่ท่านใช้สร้างพระและลูกอมนั้น มีส่วนผสมของผงปูน ผงวิเศษที่ท่านทำและลบเองตามตำรา ผงใบลาน เกษรดอกไม้สดและผงขี้ธูปจากระถางบูชาพระ การพิจารณาผงพุทธคุณของหลวงพ่อพริ้งนั้น ท่านว่าเนื้อหาต้องฟ่าม หยาบไม่แน่น มีน้ำหนักไม่มากขนาดไม่ตึงมือ หากพิจารณาโดยละเอียดด้วยกล้องขยาย จะเห็นเนื้อจะเห็นผงขีธูปสลับกับเม็ดผงสีขาว และจุดสีน้ำตาลของเกษรดอกไม้

             หลวงพ่อพริ้งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในย่านละแวกวัดมานานแล้ว แต่น่าเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ คงจะเป็นเมื่อคราวหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (แพ )ท่านนิมนต์ให้ หลวงพ่อพริ้งลงอักขระในแผ่นทองแดงเพื่อนำไปหลอมในการสร้างพระกริ่งของท่าน ปรากฏว่าเมื่อช่างได้นำแผ่นทองแดงของท่านลงในเบ้าหลอม มีแผ่นทองแดงที่ไม่สามารถหลอมละลายได้อยู่แผ่นหนึ่ง จึงนำขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นแผ่นทองแดงของ หลวงพ่อพริ้งจากนั้นจึงใส่ลงไปการหลอมต่อ แต่ทำอย่างไรแผ่นทองแดงนั้นก็ไม่ละลาย ถึงกับต้องนิมนต์ หลวงพ่อพริ้งมาจากวัด เมื่อท่านกำกับ ปรากฏว่าแผ่นทองแดงนั้นละลายไปอย่างง่ายดาย ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปอย่างกว้างขวาง ในพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญ ๆ จะต้องมีการนิมนต์หลวงพ่อพริ้งอยู่ ด้วยเสมอ เช่น พิธีพุทธาภิเษก เหรียญหลวงพ่อมงคลพบิตร ปีพ.ศ. 2485 หรืองานหล่อพระรูปของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชิน วรสิริวัฒน์ที่วัดราชบพิธ หลวงพ่อก็จะได้รับนิมนต์ด้วยแทบทุกครั้ง

                    นอกจากนี้ ท่านยังมีวิชาความรู้เป็นเลิศ ในด้านการแพทย์แผนโบราณอีกทั้ง วิปัสสนากรรมฐานเป็นกิจวัตร จนมีญาณสมบัติสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้า จนเป็นที่ประจักษ์ ชนชั้นสูงและเจ้าขุนมูลนายของฟ้าบางกอกในครั้งกระโน้น ต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปนมัสการท่านที่วัดบางปะกอกกันไม่ขาดสายแทบจะทุกวัน

                          นอกจากพระพิมพ์ ต่าง ๆ เนื้อผงพุทธคุณ ซึ่งมีทั้งผงล้วน ผงชานหมาก ผงคลุกรัก และนำมาจุ่มรักอีกชั้นเพื่อเป็นการรักษาเนื้อพระไม่ให้เสียหายแล้ว ยังมีพระเครื่องอีกจำนวนหนึ่งที่สร้างจากวัสดุประเภทอื่น เช่น ตะกั่ว และทองผสม รวมถึงเนื้อดินเผาซึ่งมีจำนวนน้อยหาชมได้ค่อนข้างยาก พิมพ์ที่พบกันบ่อย ๆ ตามหน้าหนังสือ และเพิ่งแตกกรุออกมาอีก เมื่อไม่นานมานี้ ได้แก่พิมพ์นั่งปรกโพธิ์ และ พระลีลาซุ้มแจกัน มีประภามณฑลที่เศียร องค์จ้อย อีกทั้งพิมพ์พระกำแพงสิบสองพระองค์ มีรูไว้ร้อยเชือกคล้องคอองค์ขนาดค่อนข้างเขื่องใหญ่โต